Last updated: 18 ก.พ. 2567 | 353 จำนวนผู้เข้าชม |
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยปัจจุบันสำรวจพบว่าคนไทยประมาณร้อยละ 20 เป็นโรคความดันโลหิตสูง คนส่วนใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค เมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนมากจะไม่ได้รับการดูแลรักษา ส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องจากไม่มีอาการทำให้คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อเริ่มมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงจะเริ่มสนใจและรักษา
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่พบบ่อย แต่บางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แม้ว่าค่าความดันโลหิตจะอยู่ในระดับที่สูงเกินปกติ อาการที่พบบ่อยของความดันโลหิตสูง ได้แก่
- ปวดศีรษะ
- ปวดท้ายทอย
- เวียนศีรษะ
- อ่อนเพลีย
- ปัญหาการมองเห็น
- อาการเจ็บหน้าอก
- หายใจเหนื่อย
- ชีพจรผิดปกติ
อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้มักจะไม่แสดงจนกว่าภาวะความดันโลหิตจะอยู่ในขั้นรุนแรง ดังนั้นการตรวจความดันโลหิตเป็นประจำเป็นสำคัญมาก ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์ทันที
ค่าความดันโลหิตแบ่งออกเป็น 2 ค่า คือ
- ค่าความดันโลหิตตัวบน (Systolic Blood Pressure) คือค่าความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัว
- ค่าความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure) คือค่าความดันของเลือดที่ขณะที่หัวใจคลายตัว
โดยในประเทศไทยกำหนดค่าความดันโลหิตปกติคือค่าความดันโลหิตตัวบนไม่เกิน 140 และตัวล่างไม่เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท โดยค่าความดันโลหิตสูงแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
- ระดับที่ 1 ตัวบนเกิน 140 มม.ปรอท หรือตัวล่างเกิน 90 มม.ปรอท
- ระดับที่ 2 ตัวบนเกิน 160 มม.ปรอท หรือตัวล่างเกิน 100 มม.ปรอท
- ระดับที่ 3 ตัวบนเกิน 180 มม.ปรอท หรือตัวล่างเกิน 110 มม.ปรอท
ค่าความดันโลหิตปกติของแต่ละช่วงอายุ ควรอยู่ที่:
- วัยทารก: ไม่ควรเกิน 90/60 มิลลิเมตรปรอท
- เด็กเล็ก 3 – 6 ปี: ไม่ควรเกิน 110/70 มิลลิเมตรปรอท
- เด็กโต 7 – 17 ปี: ไม่ควรเกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท
- วัยทำงาน 18 ปีขึ้นไป: ไม่ควรเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท
- ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป: ไม่ควรเกิน 160/90 มิลลิเมตรปรอท
หมายเหตุ ค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมอาจแตกต่างไปตามสภาพร่างกายและสุขภาพของแต่ละบุคคล
ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อร่างกาย โดยเฉพาะถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง ได้แก่:
- โรคหัวใจ: ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): ความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบตันหรือแตกได้ง่ายกว่าคนปกติ
- โรคไต: ความดันโลหิตสูงทำให้การทำหน้าที่ของไตค่อยๆ เสื่อมลง ส่งผลให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง
- โรคตา: ความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดภาวะเสื่อมของหลอดเลือดแดงภายในลูกตาอย่างช้าๆ ประสาทตาเสื่อม ตามัวลง เรื่อยๆ จนอาจทำให้ตาบอดได้
- การป้องกันและควบคุมความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิต
การป้องกันและรักษาความดันโลหิตสูงสามารถทำได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
- การเลือกรับประทานอาหาร: ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมปริมาณมาก
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถช่วยควบคุมความดันโลหิตได้
- ควบคุมน้ำหนัก: ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์: ควรดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป
- เลิกสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้
- จัดการกับความเครียด: ควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เครียด และทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง, รดน้ำต้นไม้, อ่านหนังสือ
- วัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ: ควรวัดความดันโลหิตเป็นประจำ เพื่อตรวจสอบว่าความดันโลหิตยังอยู่ในระดับปกติหรือไม่
“สมุนไพรมหัศจรรย์จากธรรมชาติ”
ว่านหางจระเข้ เป็นต้นพืชที่มีเนื้ออวบอิ่ม จัดอยู่ในตระกูลลิเลียม (Lilium) แหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในคาบสมุทรอาหรับ สายพันธุ์ของว่านหางจระเข้มีมากกว่า 300 สายพันธุ์ ซึ่งมีทั้งพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มากจนไปถึงพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร
- ลักษณะพิเศษของว่านหางจระเข้ คือ มีใบแหลมคล้ายกับเข็ม เนื้อหนา และเนื้อในมีน้ำเมือกเหนียว
- ว่านหางจระเข้ผลิดอกในช่วงฤดูหนาว ดอกจะมีสีแตกต่างกัน เช่น เหลือง ขาว และแดง
- ว่านหางจระเข้เดิมเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อน ต่อมาได้ถูกนำไปแพร่พันธุ์ในยุโรปและเอเชีย โดยปลูกเพื่อใช้ในการเกษตรและการแพทย์ รวมถึงสำหรับการตกแต่งและปลูกเป็นต้นไม้กระถาง
ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) เป็นพืชล้มลุกที่มีใบหนาและยาว อวบน้ำ มีสีเขียว ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก มีหนามแหลมเล็ก ๆ สีขาวอยู่ห่างกัน ข้างในใบเป็นวุ้นสีเขียวอ่อน มีน้ำเมือกเหนียว ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณทางยามากมาย เช่น ช่วยบรรเทาอาการจากแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ผิวไหม้แดด ช่วยสมานแผล และห้ามเลือด นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสารสำคัญที่สามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตได้ โดยวิธีการที่แนะนำคือการดื่มน้ำว่านหางจระเข้ หรือรับประทานเนื้อวุ้นในปริมาณที่เหมาะสม
สาระสำคัญในว่านหางจระเข้ที่สามารถช่วยเรื่องความดันโลหิตได้
- ว่านหางจระเข้ประกอบไปด้วยสารอะโลอีโมนดิน (Aloe-Emodin) และสารอะโลอิน (Aloin) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และอาจช่วยลด ระดับความดันโลหิต ได้ เนื่องจากมีส่วนในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงจนเกินไป
- ว่านหางจระเข้มีสารโพลียูโรไนด์และโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเลือด และขยายหลอดเลือดฝอย ทำให้เลือดไหลไปถึงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
- ว่านหางจระเข้ยังมีสารแอนทราควิโนน ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยล้างสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย และช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ลดการอุดตันของหลอดเลือด
นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโนหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น
- แมกนีเซียม โพแทสเซียม ทองแดง แมงกานีส ซีลีเนียม และโครเมียม ช่วยให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้น
- วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินบี 9 โคลีน และวิตามินบี ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
ข้อมูลอ้างอิง
- จากวารสารแพทย์อังกฤษตีพิมพ์ในปี 2000 (British medical journal) ระบุว่าสารสกัดจากว่านหางจระเข้สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมความดันโลหิตและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
- ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) มีสรรพคุณทางการแพทย์หลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ สามารถช่วยลดความดันโลหิต1. จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Food Science and Technology เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานว่านหางจระเข้ มีระดับความดันโลหิตลดลง
น้ำว่านหางจระเข้ ตราเฮ็ลธ์ฟู้ดส์ บริสุทธิ์ 99.67% ไม่ผสมกับน้ำผลไม้ และผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบดีเยี่ยม ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย เสมือนได้ทานน้ำว่านหางจระเข้สดๆ จากธรรมชาติ สามารถดื่มเป็นประจำทุกวัน เพื่อสุขภาพที่ดี
21 เม.ย 2566
30 พ.ค. 2566
20 พ.ค. 2566
17 มี.ค. 2566