Last updated: 18 ก.พ. 2567 | 766 จำนวนผู้เข้าชม |
PM 2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งเล็กกว่าขนผมมนุษย์ถึง 30 เท่า ฝุ่นละอองขนาดนี้สามารถเข้าไปในปอดและกระแสเลือดได้ง่าย ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ อาทิเช่น อาการเจ็บคอ ไอ หายใจไม่สะดวก หรือเกิดโรคเรื้อรัง
PM 2.5 มีแหล่งกำเนิดจากอะไร? PM 2.5 มีแหล่งกำเนิดทั้งจากการปล่อยตรงจากแหล่งกำเนิด เช่น การเผาไหม้ การจราจร หรือโรงงานอุตสาหกรรม และจากการเกิดขึ้นในบรรยากาศจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ หรือแอมโมเนีย
PM 2.5 มีผลกระทบอย่างไร?
- PM 2.5 สามารถเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ ปอด และกระแสเลือดได้ ทำให้เกิดการอักเสบ ลดการหายใจได้ และเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด หรือมะเร็งปอด
- PM 2.5 สามารถเป็นตัวนำของสารพิษ หรือเชื้อโรคได้ ทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเซลล์
- PM 2.5 สามารถกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ทำให้เกิดฝุ่นควัน ลดความชัดเจนของมองเห็น และเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของน้ำและดิน
เมื่อเราหายใจเอาฝุ่นไปในปริมาณมาก อาการแรกที่เราจะเริ่มเป็น คือรู้สึกระคายคอ แสบจมูก แสบคอม ไอ หรือจาม ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย ที่จะพยายามขับสิ่งแปลกปลอมออกมา ซึ่งอาการดังกล่าว อาจทำให้เรารู้สึกรำคาญ หากจำเป็นต้องออกไปเผชิญฝุ่น ต้องสวมหน้ากากสำหรับป้องกัน PM 2.5
วิธีการแก้การระคายคอ
1. ล้างมือบ่อยๆ : เมื่อสัมผัสสิ่งของสาธารณะ ลดโอกาสที่จะนำฝุ่นเข้าจมูก หรือตาให้น้อยลง
2. ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิปกติให้มาก ๆ : ในช่วงเวลาที่คันคอ แสบคอจากฝุ่น แนะนำให้ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ (มากกว่า 8 แก้ว) เพื่อให้น้ำเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุลำคอ ลดอาการระคายคอไปได้บ้าง
3. กลั้วคอด้วยน้ำอุ่น หรือน้ำเกลือ : เพื่อช่วยฆ่าเชื้อและล้างเสมหะ
4. เลี่ยงอาหารรสจัด : อาหารรสจัดอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ลำคอได้มากขึ้น
5. สูดดมไอร้อน : นำหอมแดงมาต้มในน้ำร้อน แล้ววางให้อุ่น อังใบหน้า เพื่อช่วยเพิ่มความชื้นของเยื่อบุคอ
6. อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทดี : หากเป็นไปได้ให้อาศัยอยู่ในอาคาร บ้าน ตึก ที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อหลีกเลี่ยงฝุ่นละอองและมลพิษ
7. สมุนไพร : สมุนไพรสรรพคุณ ที่ช่วยลดอาการระคายเคืองคอ มีอยู่หลายตัวด้วยกัน และบางอย่างก็ใช้แก้เจ็บคอได้ง่าย เช่น น้ำว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ คือ พืชล้มลุกที่มีเนื้ออวบอิ่ม ใบแหลมคล้ายเข็ม เนื้อในมีน้ำเมือกเหนียว มีสรรพคุณในการรักษาแผล ปรับปรุงระบบทางเดินอาหาร และป้องกันโรคเบาหวาน ว่านหางจระเข้มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในคาบสมุทรอาหรับ และมีสายพันธุ์มากกว่า 300 สายพันธุ์
- ประวัติโบราณ: Aloe vera มีประวัติที่หลายพันปี คิดว่ามีต้นตำรับที่สามหมื่นปี มีการใช้ Aloe vera ในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในคาบสมุทรอาหรับ นอกจากนี้ การใช้ Aloe vera สามารถติดตามได้ถึงชาติพันธุ์โบราณ เช่น อียิปต์ กรีซ และโรมัน ชาวอียิปต์เรียก Aloe vera ว่า "พืชของความไม่มีตาย" และบ่งชี้ถึงพืชนี้ในภาพวาดบนกำแพง
- การใช้ในประวัติอียิปต์: Aloe vera ได้รับความน่าประจักษ์จากชาวอียิปต์โบราณเป็นพิเศษ เป็นไปได้ว่ามีการใช้ Aloe vera ในการรักษาโรคผิวหนังต่างๆ บริเวณเผ่าพันธุ์และไหล่ไหล่ และน้ำมัน Aloe vera ได้รับการใช้ทาซ่อมแซมและรักษาผิว
- กรีซและโรมัน: กรีซและโรมันต่อสู้กับการใช้ Aloe vera ในทางการแพทย์ เป็นไปได้ว่าในการรักษาแผล การรักษาผิวหนังที่ระคานและเป็นยาไหล่
- ยุคกลาง: ในยุคกลาง Aloe vera ยังคงใช้ในการแพทย์พื้นบ้าน และมีอยู่ในสวนยาของวัดยุโรป และมีการเพาะปลูกเพื่อทำต้นไม้รักษาโรค
- อเมริกาในยุคคอลอนี: Aloe vera ถูกนำเข้าสู่อเมริกาโดยนักสำรวจสเปนตั้งแต่ต้นกำเนิด กลายเป็นต้นไม้ประจำบ้านในสวนผลไม้ของอาณาจักรยุโรป และใช้เป็นส่วนผสมในการรักษา.
- การใช้ในสมัยปัจจุบัน: ในศตวรรษที่ 20 ความนิยมของ Aloe vera เพิ่มขึ้น และกลายเป็นส่วนสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังและเครื่องสำอาง คุณสมบัติในการทำให้ผิวเป็นประโยชน์ทำให้ได้รับความนิยม
- การวิจัยทางวิทยาศาสตร์: ในสิบกว่าปีที่ผ่านมา การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสารประกอบที่พบใน Aloe vera ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีสารประกอบที่มีความต้านอาการอักเสบ ต้านออกซิเดชัน และเพื่อให้ระบบร่างกายหายขาดได้
ภายในใบมีสารประกอบที่มีประโยชน์ ซึ่งนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตั้งแต่เครื่องสำอางไปจนถึงอาหารเสริม. Aloe vera ยังคงเป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมในการใช้ทาผิวหนังเพื่อความชุ่มชื่นและการรักษาผิวหนังที่ได้รับความเสียหาย ในใบของ Aloe vera มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงร้อยละ 99 แต่ในวุ้นใสๆ ในใบของ Aloe vera กลับมีสารสำคัญที่เป็นสารออกฤทธิ์ ที่มีสรรพคุณทางยามากมาย ได้แก่
- Aloe-emodin: ในการวิจัยทางการแพทย์ Aloe-emodin ได้รับความสนใจเนื่องจากฤทธิ์ต้านเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย
- Aloesin: ความสำคัญทางการแพทย์ Aloesin มีความสามารถในการปรับสมดุลสีผิวและมีการใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนัง
- Aloin: ความสำคัญทางการแพทย์ Aloin เป็นสารที่มีผลกระทบต่อการทำงานของลำไส้ใหญ่และมีฤทธิ์การบีบอัดที่สามารถช่วยลดท้องอืดและท้องเสียได้
- ไกลโคโปรตีน (glycoprotein) และโพลีแซกคาไรด์ (polysaccharide) : สารสำคัญในการออกฤทธิ์สมานแผล ต้านการอักเสบ และเสริมภูมิคุ้มกัน
- aloctin A, veracylglucan B และ C และ bradykininase : สาระสำคัญในการออกฤทธิ์ลดการอักเสบ สารสำคัญในการออกฤทธิ์สมานแผล
- traumatic acid : สาระสำคัญในการออกฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- สารกลุ่ม anthraquinones : เป็นสารที่มีสีและมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา สารกลุ่มนี้พบในยางสีเหลืองที่อยู่ในส่วนของเปลือกใบของว่านหางจระเข้ มีชื่อเช่น aloe-emodin, aloesin, aloin เป็นต้น สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์เป็นยาระบาย โดยเพิ่มการบีบตัวของลำไส้ ลดอาการท้องผูก และช่วยขับถ่ายพิษ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เป็นยาแก้ไอ และยาแก้เจ็บคอ โดยช่วยลดการอักเสบ และกระตุ้นการหลั่งเสมหะ
นอกจากนี้ ใบของ Aloe vera ยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโนหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แมกนีเซียม โพแทสเซียม ทองแดง แมงกานีส ซีลีเนียม และโครเมียม ช่วยให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินบี 9 โคลีน และวิตามินบี 12 ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
น้ำว่านหางจระเข้ ตราเฮ็ลธ์ฟู้ดส์ บริสุทธิ์ 99.67% ไม่ผสมกับน้ำผลไม้ และผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบดีเยี่ยม ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย เสมือนได้ทานน้ำว่านหางจระเข้สดๆ จากธรรมชาติ สามารถนำมากอมและดื่ม เพื่อลดการระคายคอ ดื่มน้ำว่านหางจระเข้เป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี
17 มี.ค. 2566
20 พ.ค. 2566
30 พ.ค. 2566
21 เม.ย 2566