Last updated: 18 ก.พ. 2567 | 894 จำนวนผู้เข้าชม |
กรดไหลย้อน: กรดไหลย้อนเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อด้านล่างของหลอดอาหารที่เรียกว่ากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (LES) ปิดไม่สนิท ทำให้กรดในกระเพาะอาหารและอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ การรับประทานอาหารมื้อใหญ่หรือนอนราบทันทีหลังรับประทานอาหาร การมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือรสจัด การดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน และการรับประทานยาบางชนิด
เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับกรดไหลย้อน ภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อน คลื่นไส้ และอาจเป็นสาเหตุของการอักเสบหรือแผลในหลอดอาหารได้
สาเหตุทั่วไปบางประการของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่:
1. ไส้เลื่อนกระบังลม: ภาวะที่ส่วนบนของกระเพาะอาหารยื่นออกมาผ่านกะบังลมเข้าไปในช่องอก
2 โรคอ้วน: น้ำหนักที่มากเกินไปจะสร้างแรงกดดันต่อช่องท้องและกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้ LES อ่อนแอลงได้
3 การตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและมดลูกที่โตขึ้นสามารถกดดันกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้
4 การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้ LES อ่อนแอลงและเพิ่มการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร
5. อาหารและเครื่องดื่มบางชนิด: อาหารและเครื่องดื่มรสเผ็ด ไขมัน หรือเป็นกรด เช่น กาแฟ แอลกอฮอล์ และผลไม้รสเปรี้ยว อาจทำให้หลอดอาหารระคายเคืองและทำให้กรดไหลย้อนได้
6. ยา: ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยารักษาความดันโลหิตบางชนิด สามารถทำให้ LES อ่อนแอลงและทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้
การทำงานผิดปกติของ LES อาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- การเสื่อมตามอายุ
- การมีพฤติกรรมการกินไม่ถูกต้อง เช่น กินอาหารมัน เผ็ด เปรี้ยว เค็ม เย็น
- การใช้สารบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และยาบางชนิด
- การมีความผิดปกติโดยกำเนิด
- การมีความผิดปกติของกระเพาะอาหาร เช่น การบีบตัวไม่ปกติ
- การมีความผิดปกติของหลอดอาหาร เช่น การบีบตัวไม่ปกติ
- การมีความผิดปกติของไส้ใหญ่ เช่น การท้องผูก
- การมีความผิดปกติของพื้นที่ใต้กระเพาะ เช่น โรคไส้เลื่อน
กรดไหลย้อนมีอาการแบบไหน?
ผู้ที่มีกรดไหลย้อนจะมีอาการที่แสดงถึงการระคายเคืองของหลอดอาหาร ได้แก่
- แสบร้อนกลางอก หรือจุกเสียดใต้ลิ้นปี่
- เรอเปรี้ยว หรือมีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาในปากและคอ
- คลื่นไส้ อาเจียน หรือขย้อนอาหาร
- กลืนอาหารลำบาก หรือรู้สึกมีอาหารติดค้างในคอ
- เสียงแหบแห้ง ไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบเปลี่ยนไป
- ปวดคอ ระคายเคืองคอ หรือมีเสมหะติดคอ
กรดไหลย้อนต้องการการรักษาอย่างไร?
การรักษากรดไหลย้อนจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปจะมีการรักษาดังนี้
- เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เช่น ไม่กินอาหารที่กระตุ้นกรด เช่น เผ็ด เปรี้ยว เค็ม เย็น ช็อกโกแลต เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่ใช้ยาที่กระตุ้นกรด เช่น aspirin, ibuprofen, naproxen เป็นต้น
-เพิ่มความสูงของที่นอนให้สูงขึ้นจากพื้นประมาณ 15-20 เซ็นติเมตร เพื่อให้กรดไม่ไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร
- ไม่ใส่เสื้อผ้าที่คับแคบบริเวณท้อง
- ไม่ควรนอนหลังจากทานอาหาร (ควรให้ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง)
-ควบคุมความดันโลหิตและค่าไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ลดความอ้วน (ถ้ามี)
- ใช้ยาบำบัดกรด เช่น antacid, H2 blocker, proton pump inhibitor (PPI) เป็นต้น
- ผ่าตัด (ถ้าการใช้ยาไม่ได้ผล)
กรดไหลย้อนจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างไร?
เมื่อกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร อาจทำให้เกิดการอักเสบและทำลายเยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่าหลอดอาหารอักเสบ เมื่อเวลาผ่านไป โรคหลอดอาหารอักเสบซ้ำๆ อาจนำไปสู่การเกิดแผลเป็นและการตีบของหลอดอาหาร ทำให้กลืนลำบาก ถ้าปล่อยให้กรดไหลย้อนเป็นเรื้อรังโดยไม่ได้การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม จะทำให้เป็นสาเหตุหรือทำให้อาการอื่นๆ แย่ลง เช่น โรคหอบหืด ไอเรื้อรัง ปัญหาเกี่ยวกับฟัน และความผิดปกติของการนอนหลับ ในบางกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อย กรดไหลย้อนในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร
น้ำว่านหางจระเข้ กับการรักษาโรคกรดไหลย้อน
น้ำว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบ และช่วยลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคกรดไหลย้อน โรคนี้เกิดเมื่อกรดในกระเพาะย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อน ระคายคอ และรสเปรี้ยวในปาก
การดื่มน้ำว่านหางจระเข้ แบรนด์เฮ็ลธ์ฟู้ดส์ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านว่านหางจระเข้ น้ำว่านหางจระเข้ ช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้ เพราะว่านหางจระเข้มีสารอะโลอีโมนดิน (Aloe-Emodin) และสารอะโลอิน (Aloin) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยลดระดับความดันโลหิต และควบคุมน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังมีส่วนช่วยปกป้องชั้นเคลือบในกระเพาะอาหารและหลอดอาหารได้
น้ำว่านหางจระเข้ แบรนด์เฮ็ลธ์ฟู้ดส์ เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ผ่านการปลูกแบบพิถีพิถันทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปอกเปลือกไปจนถึงการบรรจุลงขวด เพื่อให้ได้น้ำว่านหางจระเข้ที่สดใหม่ อันแน่นด้วยคุณค่าของว่านหางจระเข้ ทั้งไม่ใส่สารกันบูด ไม่ใส่สี ไม่ผสมน้ำผลไม้ ทำให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัย และดีต่อสุขภาพ เสมือนได้ทานน้ำว่านหางจระเข้สดๆ จากธรรมชาติ
17 มี.ค. 2566
30 พ.ค. 2566
21 เม.ย 2566
20 พ.ค. 2566