ประโยชน์ของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ที่อยู่ใน ไอเบอร์รี่ (I-Berry) ยิ่งกิน ยิ่งดีต่อสุขภาพ
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่เราคุ้ยเคยมีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอรี่ ราสเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ เป็นต้น ซึ่งผลไม้ตระกูลนี้จัดเป็น Superfood ที่เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุ ที่มีประโยชน์ กับร่างกาย และผลิตไอเบอร์รี่ก็ได้รวมนำผลไม้ตระกูลรวมกัน 10 ชนิด มาอยู่ผลิตภัณฑ์ไอเบอร์รี่อีกด้วยนะคะ
วันนี้เรามาดูกันว่า I-Berry มีผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ชนิดใดกันบ้างและทำความรู้จักผลไม้ตระกูลนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ
1. สตรอว์เบอร์รี่
สารอาหาร
- สตรอว์เบอร์รี่มี วิตามินเอ, บี และซี, มีกรดฟอลิค (Folic acid), มีเส้นใยอาหาร (Fiber)
ประโยชน์ของสตรอว์เบอร์รี่
- เป็นผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ จึงเหมาะสำหรับ ลดความอ้วน
- วิตามินซีสูง สามารถป้องกันโรคหวัดได้เมื่อทานเป็นประจำ
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้
- ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
- ช่วยล้างพิษทำให้ร่างกายสดชื่นผ่อนคลาย
2. บิลเบอร์รี่
สารสำคัญในบิลเบอร์รี่มีดังนี้
1. แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides)สามารถจับกับเซลล์บุผิว (pigmented epithelium) ที่จอภาพเรตินาได้ดีโดยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศ (Anti-oxidant) ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์และคืนสภาพสาร Rhodopsin ได้หลังจากถูกแสงจึงช่วยทำให้การมองเห็นในที่มืดได้ดี
2. แทนนิน (Tannins) มีฤทธิ์ในการสมานแผล (Astingent) และให้ผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเช่นพวกแบคทีเรียบางชนิด
3. ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) และยังเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนหลายชนิดที่สำคัญต่อมนุษย์
4. กลูโคควินิน (Glucoquinine) เป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของอินซูลินทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
ประโยชน์ของอาหารเสริมที่สกัดจากบิลเบอร์รี่ต่อสุขภาพดวงตา
1.) ช่วยถนอมดวงตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
2.) ช่วยรักษาอาการตาบอดกลางคืน ( Night blindness)
3.) ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตานานๆ
4.) ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น
5.) ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตาทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจกต้อหินต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ (สายตายาว)
สรรพคุณอื่นๆที่ค้นพบนอกจากนี้ คือ
1.) พบว่าสารแทนนินในผลบิลเบอร์รี่สามารถบรรเทาอาการท้องเสีย อาการคลื่นไส้และภาวะอาหารไม่ย่อยได้
2.) พบว่าสารสกัดจากผลบิลเบอร์รี่สามารถลดอาการปวดเจ็บจากภาวะเส้นเลือดขอด (Varicose vein) ได้เนื่องจากภาวะดั่งกล่าวเกิดจาก ความเสื่อมของเซลล์เช่นกัน
3.) พบว่าสารสกัดจากผลบิลเบอร์รี่ สามารถใช้ลดอาการอักเสบในช่องปากและเยื่อบุช่องปากได้
4.) พบว่าสารสกัดจากผลบิลเบอร์รี่ช่วยลดอาการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังที่ทำให้เกิดจุดด่างดำของผิวพรรณ
3. แครนเบอร์รี่
ประโยชน์ของแครนเบอร์รี่
- ช่วยบำรุงสาย
- ช่วยลดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
- ช่วยบำรุงให้หัวใจแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง
- ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆในร่างกาย
- ช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้นสดใสเพราะแครนเบอร์รี่มีวิตามินซีอยู่สูงมาก
4. บลูเบอร์รี่
ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงที่ช่วยต้านการทำลายเซลล์ของร่างกาย
- มีปริมาณใยอาหารสูงโดยเฉพาะเพคตินที่ทำหน้าที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยดูแลเส้นเลือดฝอยให้แข็งแรง
- ช่วยชะลอความแก่บำรุงร่างกายและช่วยให้ความจำดีขึ้นในคนชรา
- มีส่วนช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายสูงวัยโดยจะมีผลให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น
5. ราสเบอร์รี่
ประโยชน์ของราสเบอร์รี่
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ สูง ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- มีสรรพคุณบรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบและมีคุณค่าทางผิวมากเลยทีเดียว
- มีธาตุ โพแทสเซียมและเส้นใยอาหารสูง มีวิตามินเคหรือ ไบโอฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและยังมีแมงกานีส ที่ช่วยในการทำงานของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย
- ช่วยทำให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติช่วยในการหมุนเวียนโลหิต อุดมไปด้วย วิตามิน เอและบีช่วยทำให้ผิวพรรณสดใสและสมานผิว
6. อัลเดอร์เบอร์รี่
สารสำคัญในอัลเดอร์เบอร์รี่
อัลเดอร์เบอร์รี่ประกอบด้วยสารนานาชนิด อาทิเช่น เม็ดสีธรรมชาติสารรสขมแทนนิน กรดอะมิโนรูติน เคอเซติน วิตามิน เอ บี และซีสำหรับสารที่เป็นพระเอกของอัลเดอร์เบอร์รี่นั้นจัดเป็นสารในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ที่มีปริมาณสูงซึ่งมีชื่อว่าแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศ (Anti-oxidant) และยังเกี่ยวข้องกับการต้านอาการเจ็บป่วยต่างๆของร่างกาย
ประโยชน์ของอัลเดอร์เบอร์รี่
- ลดคอเลสเตอรอล
- บำรุงสายตา
- เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
- ปรับสุขภาพของหัวใจให้ดีขึ้น
- รักษาโรคเกี่ยวกับอาการไอ,ไข้หวัด,ไข้หวัดใหญ่,การติดเชื้อจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสารไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoids) ในผลไม้ดังกล่าวสามารถยับยั้งและทำลายล้างได้ในระดับเซลล์
7. แบล็กเบอร์รี่
ประโยชน์ของแบล็กเบอร์รี่
- แบล็กเบอร์รี่สดเป็นแหล่งที่มีกรดฟีโนริก วิตามินซี และโฟเลตสูงสุดช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนได้ทำให้ผิวหนังเราไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
- แบล็กเบอร์รี่มีสารเคมีชนิดหนึ่งเรียกว่า Salicylate ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งลำไส้และโรคหัวใจ
- มีสารแทนนินทำให้เนื้อเยื่อหดตัวมีผลห้ามเลือดได้
- ช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงและอาการอักเสบของลำไส้
8. เชอร์รี่
ประโยชน์ของเชอร์รี่
1.) ช่วยลดการติดเชื้อโรคหวัดช่วยต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย และ ลดการแพ้สารต่างๆของร่างกาย วิตามินซี ช่วยรักษาผิวของเม็ดเลือดขาวไม่ให้ถูกทำลายจึงทำให้การเคลื่อนย้ายตัวของ เม็ดเลือขาว ไปยังเชื้อโรคต่างๆได้รวดเร็วนอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยการทำงานของ น้ำย่อยที่ใช้ทำลายเชื้อโรคเหล่านี้ด้วยจากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ได้รับวิตามินซีเป็นประจำจะเป็นหวัดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับ
2.) ช่วยลดการแพ้ต่างๆรวมทั้งโรคภูมิแพ้โดยยับยั้งสารที่เรียกว่า ฮีสตามีน เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาหากมากเกินไปจะทำให้มี อาการระคายเคือง ตามระบบหายใจ ทำให้จามมีน้ำมูกไหล นอกจากนี้ยังพบว่า วิตามินซีสามารถลดโอกาสการติดเชื้อบริเวณปอดได้อย่างมีนัยสำคัญ
3.) เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant) ทำหน้าที่เป็นสารช่วยยับยั้ง การสร้างสารอนุมูลอิสระและยังช่วยซ่อมแซม เซลล์ที่ถูกทำลาย และขจัดโมเลกุลที่ถูกทำลายช่วยป้องกันเซลล์เสื่อมตัวเร็ว ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้เช่น โรคมะเร็งโรคหลอดเลือดแดงแข็งโรคข้ออักเสบจากรูมาตอยด์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบ ภูมิคุ้มกัน และ ป้องกันระบบประสาท และสมองจากโรคความจำเสื่อม อันเนื่องมาจากการมีอายุมากขึ้น 4.) ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน (collagen) ซึ่งเป็นโปรตีน ที่จำเป็นสำหรับ เนื้อเยื้อที่ผิวหนัง และกระดูก โดยเฉพาะในเด็ก ช่วยเสริมสร้างการ เจริญเติบโตในผู้ใหญ่ทำให้ผิวกระชับ ลดการเกิด ริ้วรอย ก่อนวัย
5.) ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงช่วยในการสมานตัวของแผล หากขาดวิตามินซีซึ่งเป็นสาเหตุการ เปราะ แตกง่ายของผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดออกง่ายอะเซโรลาเชอรี่เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิด ในหมู่เกาะเขตร้อน แถบทะเลแคริบเบียนซึ่งผลอะเซโรลาเชอรี่ มีปริมาณวิตามินซีสูง กว่าที่พบในส้ม ถึง 30-80เท่า โดยพบว่าอะเซโรลาเชอรี่เป็นผลไม้ ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีจากธรรมชาติที่สูงที่สุด ดังนั้นการรับประทานอะเซโรลาเชอรี่ จึงเป็นการเลือก วิตามินซี จากธรรมชาติให้กับร่างกายของเรา
9. โกจิเบอร์รี่
Goji Berry: โกจิเบอรี่ ประกอบด้วย
กรดอะมิโน (amino acid) 18 ชนิด [ 6 เท่ามากกว่า เกสรผึ้ง (bee pollen)]
มีวิตามิน บี1,บี2,บี6, วิตามิน อี(หายากในผลไม้)
มีแร่ธาตุอีก 21 ชนิด
มีเบต้าแคโรทีนมากกว่าหัวแครอท
มีธาตุเหล็กมากกว่าผักขม(spinach)
มีวิตามินซีมากกว่าส้ม
Goji ถูกนำไปใช้ในประเทศธิเบต มานานกว่า 1,700 ปีเพื่อรักษาโรคไตและตับเพื่อลดระดับคลอเลส-เตอรอล, ลดความดันโลหิต, ทำความสะอาดเลือด, เพิ่มความแข็งแรงให้กับสุขภาพและมีอายุยืนนอกจากนี้ยังมีประวัติในการบำรุงรักษาโรคเกี่ยวกับตา, ผดผื่นคันที่ผิวหนัง, โรคผิวหนังที่มีลักษณะแดงเป็นวง, โรคภูมิแพ้, โรคนอนไม่หลับ, โรคตับอักเสบเรื้อรัง, โรคเบาหวานและวัณโรควิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้แสดงให้เห็นว่า โกจิ(Goji) ไม่เพียงแต่ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ, วิตามินและแร่ธาตุสูงมากเท่านั้นแต่ยังมีสารพฤกษเคมี(Phytochemicals),สารพฤกษโภชนาการ(Phytonutrients) และสารโปลี่แซคคาไลด์ (Polysaccharides) เป็นองค์ประกอบอีกด้วย ผลโกจิยังมีโปรตีนสูงถึง 13% มันเป็นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมากชนิดหนึ่ง ในโลกนี้
10. อาไซอิเบอร์รี่
ประโยชน์ของอาไซเบอร์รี่
- มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผักและผลไม้ทุกชนิด
- เปี่ยมไปได้สารแอนโทนไซยานิน สารที่พบได้ในผลไม้ชนิดนี้เท่านั้นเปี่ยมประสิทธิภาพในการต้านความชรา และต้านเซลล์มะเร็ง - ช่วยย้อนคืนความเป็นหนุ่มสาว ทั้งทางผิวพรรณสุขภาพภายใน และสุขภาพทางเพศ
- ให้พลังงานสูง เพิ่มความกระปรี้กระเปร่าสดชื่นและเพิ่มพละกำลังในการออกกำลังกาย
เห็นไหมว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้นเต็มไปด้วยประโยชน์มากมายที่ดีต่อสุขภาพและผิวพรรณเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีรสชาติที่อร่อย หวานอมเปรี้ยว น่ากินอีกด้วย เพราะฉะนั้นเรามาดื่มไอเบอร์รี่ที่มีผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เหล่านี้เพื่อการมีสุขภาพที่ดีกันดีกว่า ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงผลไม้บางชนิดที่เรานำมาพูดถึงเท่านั้น โดยผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ก็ยังมีอีกหลายชนิดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกูสเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น ยิ่งกินก็ยิ่งดีต่อสุขภาพแน่นอน